การล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้เพื่อช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น

ล้างตู้แอร์แบบถอดตู้ต้องรื้อตู้แอร์แล้วเอาคอยล์เย็นมาล้างข้างนอก น้ำยาทำความสะอาดแตกต่างกันไปแล้วแต่ช่างจะใช้อะไรเพื่อประหยัดต้นทุน ราคาถูกก็ผงซักฟอก โซดาไฟ พวกนี้จะล้างออกยาก ดังนั้น เวลาประกอบกลับ เปิดแอร์รถยนต์จะรู้สึกว่ามีกลิ่นผงซักฟอกแสดงว่าล้างออกไม่หมด อาจกัดกร่อนคอยล์เย็นได้และเมื่อสูดดมเข้าไปไม่ส่งผลดีต่อระบบหายใจ ถ้าคนแพ้ ก็อาจแสบตา แสบจมูก การถอดล้างตู้แอร์แบบนี้ ต้องแวคเติมน้ำยาแอร์ใหม่และต้องเปลี่ยนไดเออร์กับวาล์วความดัน ถ้าประหยัดงบไม่ยอมเปลี่ยนท่อแอร์รั่วได้เพราะความชื้นเข้าไปอยู่ในระบบจากการถอดตู้แอร์

การล้างแอร์รถยนต์แบบไม่ถอดตู้เพื่อช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้นเสร็จเร็วทางร้านได้เงินไวโดยทั่วไปเครื่องล้างตู้แอร์จะกำหนดน้ำยาที่ต้องใช้เฉพาะสำหรับการล้าง แต่บ้างเอาผงซักฟอกโซดาไฟผสมลงไปเพื่อให้น้ำยาใช้ได้หลายคันขึ้น เวลาล้างน้ำยาออกจะมีปัญหาเพราะเครื่องไม่ได้ถูกกำหนดให้ล้างผงซักฟอกหรือโซดาไฟ ผลที่ได้อาจคาดไม่ถึงการล้างแบบนี้เหมาะกับรถใหม่ รถที่ล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง หรือเหมาะกับรถที่ดูแลตู้แอร์เป็นประจำ ถ้าใช้มา 7-8 ปี แล้ว ช่างแอร์ไม่ค่อยอยากล้างวิธีนี้เพราะตู้แอร์อาจรั่วอยู่แล้วแต่ฝุ่นไปอุดรูรั่วไว้พอล้างเอาฝุ่นออก รอยรั่วก็ปรากฏ

การฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์ไม่ต้องรื้อตู้ออกมาฉีดสเปรย์ทำความสะอาดให้ทั่วคอยล์เย็น ก็เป็นอันเรียบร้อย คราบน้ำยาจะค่อยๆ ออกมาพร้อมกับน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้งถ้าตู้แอร์ไม่สกปรกมาก วิธีนี้ก็พอใช้ได้แต่คงต้องฉีดสเปรย์กันบ่อย 2-3 เดือนต่อครั้งเพราะอยู่ในเมืองฝุ่นจะเยอะ สเปรย์บางยี่ห้อจะช่วยขจัดกลิ่นด้วยราคาค่าฉีดสเปรย์รวมแล้วมากกว่าการล้างตู้แอร์รถยนต์แบบที่ 1 และที่ 2 การใส่กรองแอร์ไม่ใช่รถทุกรุ่นจะใช้ได้เพราะกรองแอร์ก็ทำมาสำหรับรถอีกระดับช่วยกรองฝุ่นอีกวิธีหนึ่งแต่อายุการใช้งานก็ประมาณ 5,000 กม. ต้องเปลี่ยนอันใหม่ถ้าไม่เปลี่ยนลมจะผ่านเข้าตู้แอร์ไม่สะดวก ลมแอร์ที่ออกมาก็จะอ่อนกำลังลง ลมที่ตีกลับจะมีผลต่อคอมแอร์กรองแอร์รถยนต์สำหรับรถบางรุ่นราคาพอรับได้แต่บางรุ่นราคาเป็นพันบาท ถ้าใช้วิธีนี้ในการทำความสะอาด ในระยะ 1 ปี ก็เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการทำความสะอาดแบบที่ 1 และที่ 2